“ร่างกายเธอลุกไหววันต่อวัน และต้องมองบวกเท่านั้น เพื่อให้ชีวิตเดินหน้าต่อไปได้”
รู้จักน้องตาล คุณแม่ลูกสาวหนึ่งมาเกือบสามปีได้ เจอกันน้องตาลก็จะยิ้มให้ ทักมาแบบสุภาพมากๆ เป็นระยะๆ แต่ไม่เคยรู้จริงๆ ว่าความจริงแล้วเธอต้องสู้อะไรบ้าง เธอป่วยเป็นเอสแอลอีรุ่นเหนื่อยแทบจะตลอดเวลา ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องพักเธอเคยมีงานประจำที่น้องตาลบอกว่า “ไม่ได้เงินเดือนมากมายนะ แต่อยู่อย่างมีความสุขได้สบาย” แต่พอโรคกลับมา น้องตาลเองออกจากงาน มารักษาตัว บวกกับช่วงโควิดที่สามีเองก็เจอมรสุมเรื่องงาน เลยต้องพลิกอาชีพ มาขายอะไรกันเล็กๆ แต่ทุกอย่างไม่ง่ายเลย จากเงินเดือนรวมกันแสนกว่าบาท ที่เธอพอดูแลตัวเองและลูกได้ ตอนนี้กว่าจะหาได้สัก 500 บาท น้องตาลบอกว่าดีใจมาก
ที่น่าทึ่งและต้องขอชื่นชมคือ น้องตาลคิดบวกมากๆ ไม่ว่าเธอจะอาการหนักขนาดไหน แต่เธอก็ยังขอบคุณฟ้า ขอบคุณคนที่เธอรัก แม้กระทั่งขอบคุณโรคที่เธอเป็นอยู่ ว่ามันทำให้เธอได้เข้าสู่ความเข้าใจสูงสุดของชีวิตคือ “ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ” มัมสกรีมขอยกให้หัวใจของน้องตาล เป็นหัวใจของผู้หญิงที่เป็นแม่อันเต็มไปด้วยความรักและการต่อสู้ ขอน้องตาลว่าขอเล่าเรื่องเธอให้แม่ๆ ได้ฟังกันนะ เผื่อว่าจะได้ให้กำลังใจแม่คนอื่น ว่ายังไงเราก็สู้ต่อไปด้วยกันนะ
อาการป่วยที่เรียกว่าพลิกชีวิต เป็นมาตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าๆ
“ตอนนั้นเรียนจบบัญชี จุฬาฯ มา ก็มาทำงานเป็นนักบัญชี งานค่อนข้างเครียด ก็ทำงานไปจนมาอายุ 26 จำได้ว่าวันนั้นไปทานข้าวกับเพื่อนๆ ปกติธรรมดา แล้วพอทานเสร็จ ปวดท้อง เหงื่อแตก เพื่อนต้องหิ้วปีกไปโรงพยาบาลทันที”
น้องตาลบอกว่าอาการเธอรุนแรงมาก คือทานอะไรไม่ได้เลย ต้องเจาะเส้นเลือดเพื่อให้อาหารเหลว “เป็นหนักจนน้ำหนักลดฮวบไปสิบกิโล เดินก็ไม่ไหว และสะเทือนใจมาก เลยต้องลาออกจากงานทันที” ผลคือน้องตาลเป็นตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันตั้งแต่อายุเพียงเท่านั้น ตับอ่อนไม่สามารถผลิตน้ำย่อยมาย่อยอาหารได้ เธอไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เคยทำอะไรที่เสี่ยงต่อโรค ทำแต่งาน ใช้ชีวิตตามปกติ
หลังจากนั้นน้องตาลได้มารักษาตัวที่บ้านต่อ ทานแต่น้ำข้าว จากผู้หญิงสวยมากน้ำหนัก 47 กิโลกรัม เธอกลายเป็นผู้หญิงที่เธอเรียกตัวเองว่า “หนังหุ้มกระดูก” กับน้ำหนักเพียง 39 กิโลกรัม
ความรู้สึกที่ดาวน์มากในชีวิต
ระหว่างที่ป่วย เธอมีแต่แม่คอยดูแล และแม่ของเธอก็มีคุณพ่อที่ขาทั้งสองข้างเดินไม่ได้ “แม่เหนื่อยมากๆ แม่อึดมาก แม่จะเหนื่อยต้องดูแลพ่อทุกอย่าง ปัสสาวะ อุจจาระ ทำทุกอย่างให้พ่อ แล้วแม่ยังต้องดูแลเราด้วย ถามแม่ว่าทำได้ยังไง แม่บอกยึดอย่างเดียวว่า ทุกอย่างเกิดและดับ ไม่มีอะไรแน่นอน สุขและทุกข์อยู่กับเราได้ไม่นาน” แม่ไม่ออกไปไหนเลย แม่ทำงานเป็นครูและดูแลเรากับพ่อ ตอนเราอยู่โรงพยาบาล แม่ขึ้นรถไฟฟ้ามาหาเราทุกวัน แล้วเย็นก็กลับไปดูแลพ่อ “แม่สอนว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา ก็เลยได้ซึมซับคำสอนนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น และไม่นึกว่าจะได้ใช้คำสอนนี้ของแม่มาทั้งชีวิตเรา”
เร่ิมคิดได้ว่าชีวิตเราก็แค่นี้ และเริ่มมีความสุขง่ายๆ บนเตียงคนป่วย
ความเป็นคนมองโลกบวกของน้องตาล ได้มาช่วยเธอแล้ว เธออยู่เหนือความป่วยได้เร็วมาก “ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลได้คิดเยอะเลย รู้สึกเลยว่าชีวิตเราก็แค่นี้ เรามีความสุขอยู่บนเตียงได้ ถ้าใจเราไม่ทุกข์ไปกับมัน แล้วเราเห็นคนที่เป็นหนักกว่าเรานอนอยู่ข้างๆ บางคนเขาคงเจ็บจนร้องเสียงดังมาก เราเห็นทุกวัน ทำให้เราคิดว่า เราก็แค่คนป่วยคนนึ่ง เราเจอแล้วก็ผ่านมาแล้ว แล้วมีคนดูยากจนกว่าเราเยอะด้วย เรายังมีแม่มาดู มีเพื่อนมาดู เราแค่ไม่มีงานทำ แล้วสภาพดูไม่ได้ เราก็เห็นชีวิตตอนนั้น แล้วเราก็มีความสุขบนเตียงของเรา”
น้องตาลได้หนังสือนี่ล่ะทำให้เธอมีความสุข “ชอบอ่านหนังสือ เพื่อนซื้อเรื่อง “พ่อ” มาให้อ่าน เป็นนิยายประวัติศาสตร์ ก็สนุกมาก ก็มีความสุขแบบนี้ไปทุกวัน ดูคนขึ้นรถไฟฟ้าจากไกลๆ แล้วรู้สึกว่าทำงานหาเงินก็คือเปลือก แต่ตอนนี้เราได้ดื่มด่ำกับหนังสือ อยู่กับแม่ แล้วเราก็รอดูหมอที่เราแอบปิ๊ง ก็กิ๊วก๊าวในใจไป ก็เป็นความสุขที่เราไม่ต้องคิดเรื่องงาน”
กลับไปทำงานใหม่ แต่งงาน มีลูก ได้พิสูจน์รักแท้กับผู้ชายคนนี้
แน่นอนว่าชีวิตคนเรา ในเรื่องร้ายมักมีเรื่องดีที่เหมือนปาฏหาริย์ ชีวิตของน้องตาลก็เช่นกัน ตลอดเวลาที่เธอต่อสู้กับโรคที่เป็นยังมีผู้ชายคนหนึ่งอยู่เคียงข้างเธอเสมอ คนรักที่รักกันตั้งแต่สมัยเรียน เขาไปเรียนต่อเมืองนอก และเธอมาป่วย น้องตาลเองมั่นใจมากๆ ว่าความรักคงไปไม่รอด เขาและเธอคงเลิกกัน แต่ไม่เลย กลับเป็นบทพิสูจน์รักแท้ให้กับชีวิตเธอ
“ก็รักษาตัวมาเรื่อยๆ จนพออายุได้ 28 ก็ไปสมัครงานอีกครั้ง ทำงานไปก็ป่วยไป เข้าโรงพยาบาลอีก ออกจากโรงพยาบาลและคราวนี้คงเป็นโชคของเรา ร่างกายแข็งแรงขึ้นมาก ได้กลับไปทำงานที่ดี ใช้ชีวิตเป็นปกติ ดีใจมากๆ” แล้วฟ้าก็มอบผู้ชายของชีวิตให้กับน้องตาล หลังจากทำงานได้พักใหญ่ๆ เธอก็ได้แต่งงานกับคนรักที่คบกันมาสิบกว่าปี และมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน เรื่องนี้เธอบอกว่าเป็นความโชคดีของชีวิตเลยที่ได้เจอเขา
“ตอนที่เราป่วย เขาไปเรียนต่อปริญญาโท เขาสามารถเจอได้สาระพัดสาว เราเองนั่นล่ะที่ไปขอเลิกเขาเอง เพราะเราไม่มีอนาคต แล้วสภาพก็ดูไม่ได้ จากคนเคยสวยมากๆ กลายเป็นกระดูกเดินได้ เราก็ทำใจเลยว่าไม่เกลียดเขา” น้องตาลได้กล้าหาญทำสิ่งที่ผู้หญิงที่มีคนรักกลัวที่สุด เธอบอกเลิกกับเขาเพราะคิดว่าทำให้เขาไม่มีอนาคต
แต่ปรากฏว่า “เขากลับดีมากๆ ไม่ทิ้งเราเลย เขียนจดหมายมาให้กำลังใจเรา โกหกที่บ้านเพื่อกลับมาหาเรา เขาบอกว่าอยากมาดูสภาพเรา แล้วไม่รังเกียจเราเลย ตอนที่เขาเห็นเราก็ตกใจว่าเราเหมือนหนังหุ้มกระดูกนะ ความงามหมดไป แถมทำอะไรก็ไม่ไหว ช่วงเวลาที่เขากลับมาสิบวัน เขาบอกว่าเราต้องกลับมาดีได้เหมือนเดิม เขาพาเราไปเห็นโลก ไปสูดอากาศ ตอนนั้นเรารู้เลยว่าเราโชคดี เราเจอรักแท้ เราก็บอกเขาว่า เราไม่รู้จะทำงานไหวมั้ย ไม่รู้ว่าเราจะหายมั้ย แต่เขาคือให้กำลังใจเราตลอด”
หลังจากนั้นทั้งสองตกลงใจแต่งงานกัน และมีลูกสาวหนึ่งคน น้องตาลได้เป็นแม่คน ดูแลตัวเองและครอบครัว และสู้กับร่างกายตัวเองต่อไป
ป่วยคราวนี้ ทำใจยากกว่าทุกครั้ง
ชีวิตเหมือนจะราบรื่น แต่เมื่อสามปีที่แล้ว น้องตาลได้กลับมาป่วยอีกครั้ง คราวนี้ทำให้เธอแทบจะทรุดไปเหมือนกัน “เป็นหนักคือหมอไปเจอว่าค่ารูมาตอยด์สูงผิดปกติ ฮอร์โมนคอร์ติซอลลดลง เพราะเราเครียด ก็เลยเหนื่อยง่ายมากๆ อาบน้ำยังไม่ไหวต้องเช็ดตัวบนเตียง ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เม็ดเลือดต่ำ” สิ่งที่ทำให้น้องตาลทุกข์มาก ทั้งๆ ที่อาการป่วยอาจไม่หนักเท่าแต่ก่อน ก็เพราะเธอมีลูก อยากเก็บเงินให้ลูก
“ในความเป็นแม่ เครียดกว่าเดิมมาก พอเงินเดือนหายไปนี่ทำใจยากมาก ที่ทำงานมายี่สิบปีในชีวิต คืออยากมีวันที่มีลูกแล้วให้อนาคตลูก แต่พอไม่ได้ทำงาน ทุกอย่างเลยเหมือนเป็นศูนย์ไป แต่สังขารไม่ให้ ออกจากบ้านไม่ไหวเลย เหนื่อยง่ายมากๆเลยยิ่งเครียดกับตัวเอง”
และน้องตาลยังเจอความไม่แน่นอนพุ่งเข้าใส่อีก สามีของเธอต้องออกจากงาน ทำให้ครอบครัวไม่มีรายได้อีกเลย กลายเป็นศูนย์กันทั้งสองคน เลยยิ่งดาวน์กับตัวเองมากเข้าไปอีก
หันมาขายอาหารทะเล และขนมออนไลน์
แต่ยังไงครอบครัวก็ต้องเดินต่อไป น้องตาลเลยหันมาหาทางขายของ เธอลองขายหลายอย่าง จนมาเจออาหารทะเลสด และขนม ปูนึ่ง หอยลวก หอยนางรมสด น้องตาลไปเจอเจ้าที่ขายปูสดมาก เธอเลยสั่งเอามาขายดู “ขายนี่ได้วันละ 500 บาทก็ดีใจแล้ว ร่างกายเราแบบนี้ ขายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางทีต้องปิดร้านไปเป็นเดือน เพราะเหนื่อย ขายไม่ไหว เคยไปลงจุฬา มาร์เก็ตเพลส ขายได้ไป 3 ล้อตนี่ดีใจมากๆ
แบรนด์ของเธอชื่อว่า Tony’s Kitchen BKK สามีช่วยออกแบบโลโก้ ช่วยส่งของ น้องตาลไหว ก็จะเปิดรับออร์เดอร์ขึ้นมา ใครอยากลองอาหารทะเลของน้องตาล บอกเลยว่าสด อร่อยจริง ยังมีเลมอน ทาร์ต ที่น้องตาลขายด้วยนะ หอม อร่อย ทานแล้วสดชื่นเลย กับเค้กฝอยทอง เค้กมะพร้าวน่ากินๆ
ยังไงก็ต้องสู้ต่อไป
น้องตาลสู้กับร่างกายตัวเองมาหลายสิบปี จนวันนี้ต้องสู้กับเศรษฐกิจของครอบครัวด้วยอีกหนึ่งสิ่ง สู้ในความเป็นแม่ที่ต่อให้ไม่ไหว ก็ต้องสตรอง แต่ไม่ว่าจะสู้ยังไง เธอก็ยังปรับใจตัวเองมามองโลกให้มีความสุขได้อยู่ดี เหมือนที่เธอบอกกับเราไว้ว่า
“ทุกอย่างอยู่ที่เรามอง ยอมรับในจุดที่เราเป็นให้ได้ก่อน ว่ามันเกิดแล้ว มันเป็นอย่างนี้ แล้วมองมุมที่ดีจากสิ่งที่เราเป็นอยู่ มองมุมบวกที่ทำให้เรามีความสุข ตัวเราเองต้องรักตัวเองก่อน ว่าเรามีคุณค่าในตัวเองเสมอ เรายังเป็นภรรยา เป็นจิตอาสา เป็นลูก เป็นแม่ได้ เราอาจไม่ได้เป็นเวิร์คกิ้งวูแมนแต่งตัวสวย แต่เรามีความสุขในแบบที่เราเป็นได้ เราก็จะรู้สึกว่าเรามีคุณค่าขึ้นมาแล้ว และครอบครัวก็ต้องการเรา เราใช้เวลากับเขา ก็เป็นคุณค่าเล็กๆ น้อยๆ ให้เรา หาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ทุกวันของเราไป”
ใครอยากลองสั่งอาหารทะเล และขนมของน้องตาล ทักเธอได้เลยที่ไลน์นี้นะคะ
Line ID @tonyskitchenbkk FB: Tony’s Kitchen Bkk โทร. 086 557 9525